ด้วยรางวัล World Urban Car of the Year 2020 รถยนต์เมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ของ Kia Soul EV
ทำให้เจ้ารถยนต์รุ่นนี้กลายเป็นที่สนใจของสื่อต่างๆในยุโรปในทันที
เพราะว่ามันผงาดเข้าป้ายคว้ารางวัลชนิดทิ้งคู่แข่งอย่าง Mini Cooper SE รวมทั้ง Volkswagen T-Cross
สองรถยนต์ชนชาติยุโรป ไปแบบไม่เห็นฝุ่นด้วยการคว้าคะแนนถึง 751 คะแนน
สำหรับ Kia Soul EV เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนจากค่าย Kia Motor Corporation
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติประเทศเกาหลีใต้
เคยมาเปิดตัวที่บ้านพวกเราไปเมื่อกลางปีก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ในงาน BIG Motor Sale 2019
เนื่องจากว่ามันเป็นรถไฟฟ้าแบบ 100% ทำให้ไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศ
และเป็นมิตรกับสภาพแวดล้อม
รูปโฉมภายนอกของ Kia Soul EV ต้องบอกเลยว่าสร้างแรงดึงดูดได้ดีเลยทีเดียว ด้วยการออกแบบที่ดูทันสมัย
เป็นเอกลักษณ์ กระจังหน้าขนาดกระชับ มาพร้อมกับไฟหน้ากว้างแบบ LED และก็ DRLs
ช่วยทำให้รูปลักษณ์รถยนต์มีความเพรียวบาง ฝากระโปรงท้ายมีการผสานกับไฟท้ายได้อย่างลงตัวพอดิบพอดี
รวมทั้งเพิ่มความมั่นคงด้วยกันชนที่กว้างขึ้น
และในส่วนของขุมกำลัง อย่างที่บอกไปแล้วว่ารถรุ่นนี้เป็นระบบ EV ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100%
ด้วยแบตเตอรี่ 64 kWh ที่สามารถให้กำลัง 204 แรงม้า และสามารถขับได้ในระยะทางสูงสุด 452 กม.
จากการชาร์จเต็มเพียงหนึ่งครั้ง ที่มาพร้อมระบบการขับขี่ Drive Mode ที่สามารถเลือกได้ตามใจชอบ
ไม่ว่าจะเป็นแบบปกติ, แบบสปอร์ต หรือแบบอีโค
และในส่วนของภายในห้องโดยสารของ รถรุ่นนี้ได้ออกแบบและตกแต่งได้อย่างทันสมัย
อีกทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และนอกจากนี้เบาะนั่งแถวหลังยังสามารถปรับพับได้ทั้งแบบ 60:40
และ แบบ Dual Level เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับเก็บสัมภาระด้านท้ายให้มากยิ่งขึ้น
และหลังคาซันรูฟที่ช่วยเพิ่มความหรูหรา
ในส่วนของระบบมัลติฟังก์ชัน หน้าจอแสดงผลแบบ Supervision TFT-LCD Cluster ขนาด 7 นิ้ว,
ระบบแสดงผลแบบ Head-up Display และวิทยุที่มาพร้อมกับหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว
ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมทั้งระบบ Sound Mood Lamp
ที่สามารถเปลี่ยนสีและจังหวะของไฟภายในรถได้ ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย
นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัยอย่าง กล้องมองหลังและเส้นกะระยะ ถุงลมนิรภัยรอบคัน
เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto-Hold ระบบควบคุม สเถียรภาพการทรงตัว ESC
และ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Detector) และระบบช่วยเตือนรถขณะถอย RCTA
(Rear Cross Traffic Alert)
ด้วยคุณภาพขับแน่น บวกด้วยราคาเริ่มต้นที่ 2.387 ล้านบาท แถมยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ทำให้มันสามารถเอาชนะใจกรรมการก่อนคว้ารางวัล World Urban Car of the Year 2020
ไปครองได้สำเร็จ…